สวนไผ่หวานเพชรน้ำผึ้ง




ผมทำสวนแบบไร่นาสวนผสม   แต่ปลูกไผ่มากหน่อยครับ  อยู่ที่  91  หมู่ 4  ต.แม่จั๊วะ  อ.เด่นชัย  จ.แพร่  เบอร์โทร 083-2663096  087-8387334  ทำเกษตรในที่ดินของตนเอง  18 ไร่   และเช่าที่ดินติดกันอีก  24  ไร่    ทำเกษตรมาได้   15 ปีกว่าแล้ว  ช่วงนี้ก็เริ่มมีรายได้จากการขายผลผลิตที่วัน มากบ้างน้อยบ้างครับ  ขอร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับสมาชิกท่านอื่นๆด้วยครับ   งานส่วนใหญ่เน้นพัฒนาสายพันธุ์ไผ่ที่หวาน (หมายถึงหน่อไผ่ที่ชิมตอนดิบๆแล้วหวานไม่มีรสขม)   การปลูกไผ่ทดสอบการออกหน่อของแต่ละสายพันธุ์  การปลูกพืชผสมผสานชนิดต่างๆ  

ประสบการณ์การปลูกไผ่บงหวาน



          ผู้เขียนได้ปลูกไผ่บงหวานมาตั้งแต่ปี  พ.ศ.  2544  โดยได้เช่าพื้นที่ใน อ.เด่นชัย   ทำเกษตรผสมผสาน โดยเริ่มที่พื้นที่  5  ไร่ก่อน และพืชหนึ่งในนั้นก็คือไผ่บงหวาน   ผู้เขียนได้ทดลองปลูก ในพื้นที่  1  ไร่  โดยใช้พันธุ์ไผ่จำนวน  200  ต้น   โดยได้ซื้อพันธุ์มาจาก  อ.สันป่าตอง  จ.เชียงใหม่แต่ก็ไม่ทราบอายุของไผ่บงหวานว่าจะให้หน่อไปได้อีกกี่ปี   โดยจุดประสงค์ของการปลูกครั้งแรกเพื่อใช้หน่อไว้เป็นอาหาร   ไม้ไว้ทำค้างผักต่างๆและค้างผลไม้ที่ปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่าอยู่  ถึงตอนเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชที่ปลูก    ปรากฏว่าหน่อไผ่บงหวานที่ขุดไปทดลองขายที่กิโลกรัมละ  50  บาทในตลาดใกล้ๆบ้าน    มีลูกค้าสนใจซื้อไปรับประทานเยอะจนไม่พอขายก็เลยต้องการที่จะปลูกเพิ่ม    และได้ทราบข้อมูลจากลูกค้าบางคนว่าที่จังหวัดเลยก็มีสายพันธุ์ลักษณะเช่น นี้อยู่   จึงเดินทางไปที่จังหวัดเลย   และได้ซื้อพันธุ์ไผ่บงหวานที่เพาะจากเมล็ดมาจากเขตอำเภอภูเรือมาส่วนหนึ่ง   เมื่อนำมาปลูกแล้วก็ยังมีพื้นที่เหลือ   จึงกลับไปหาซื้ออีกครั้ง   แต่เที่ยวนี้ไปได้เมล็ดไผ่บงหวานที่กำลังตายขุ๋ยจากบ้านชาวบ้านในเขตอำเภอภู เรือจึงนำกลับมาเพาะที่สวน   และนำลงไปปลูกจนเต็มพื้นที่ทั้งหมด  20  ไร่นอกจากนี้ยังมีญาติพี่น้องของภรรยาเริ่มปลูกตาม  รวมมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ  33  ไร่  ในสวนไผ่หวานเพชรน้ำผึ้งพบว่าต้นที่ปลูกจากเมล็ดมีหลายลักษณะ กระจายตัวอยู่   พบต้นไผ่บงหวานที่มีลักษณะรสชาติขมประมาณ 0.5%  ทางสวนได้ทำการขุดออกทิ้งทั้งหมด  นอกจากนี้ยังพบต้นที่มีลักษณะทั้งหน่อเล็กและหน่อใหญ่ปะปนกันอยู่   หลังจากปลูกได้  3  ปี  การเก็บหน่อจำหน่ายจากต้นที่เพาะเมล็ดพบว่าผลผลิตต่ำมากเพราะมีต้นที่ให้ หน่อที่เล็กมากเป็นส่วนใหญ่ พบต้นที่ให้หน่อใหญ่ราวๆ  0.5 %  ซึ่งทั้งๆที่ต้นแม่ที่ตายขุ๋ยก็ต้นใหญ่และให้หน่อใหญ่หน่อละไม่ต่ำกว่า  500กรัม  จึงสรุปได้ว่าไผ่บงหวานที่เพาะเมล็ดแล้วนำมาปลูกใหม่มีการกลายพันธุ์ที่ กระจายตัวสูงมากและได้ลักษณะที่ด้อยกว่าต้นแม่ถึง  99  % ผู้เขียนทำงานด้านปรับปรุงพันธุ์ก่อนจึงพอเข้าใจ  และตั้งใจว่าจะต้องคัดสายพันธุ์ที่ให้ลักษณะที่ดีและทราบอายุ  จึงจะทำให้ผู้เขียนและญาติๆพี่น้องของภรรยาได้พันธุ์ไผ่บงหวานที่ดีและทราบ อายุของไผ่บงหวานที่ปลูก  
         จากการดูต้นไผ่บงหวานของ จ.เลย ที่แสดงลักษณะที่ดี พบว่าไผ่บงหวานของ  จ.เลย  จะต้นใหญ่กว่า  ให้หน่อที่ใหญ่กว่าพันธุ์ที่นำมาจาก จ.เชียงใหม่ จึงตั้งชื่อไผ่บงหวานที่คัดเลือกต้นใหม่จากการเพาะเมล็ดว่า  “ไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้ง”  ลักษณะพันธุ์คือ   เป็นไผ่ขนาดกลาง   ลำต้นโตเต็มที่สูงประมาณ    7-12   เมตรเนื้อไม้ตันไม่มีรูใหญ่      หน่อเมื่อเก็บจากต้นที่โตเต็มที่จะมีขนาด    2-3   หน่อต่อกิโลกรัม   ไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้งที่ปลูกมีลักษณะเด่นอยู่ที่หน่อไผ่มีรสชาติไม่ขมมี ลักษณะหวานกรอบ  ไม่มีเส้นใย  เนื้อของหน่อละเอียดมีกลิ่นหอมเมื่อปรุงสุก กลิ่นคล้ายๆข้าวโพดหวาน    หน่อ สามารถกัดชิมดิบๆแล้วไม่ขมติดลิ้นเหมือนไผ่พันธุ์อื่นๆ     ทำให้นำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนูโดยหั่นสดๆแล้วทำอาหารได้เลยไม่ต้องต้ม น้ำทิ้งก่อน   อาทิ     ลวกหรือย่างจิ้มน้ำพริก    ผัดน้ำมันหอย  หน่อบงหวานผัดกุ้ง   ชุบแป้งทอด  ร่วมกับผักสลัด  ทำแกงเขียวหวาน   ต้มจืดกระดูกหมู   หรือจะแกงเหมือนหน่อไผ่พันธุ์อื่นๆ    แต่มีเทคนิคอยู่ที่    ต้องเตรียมตั้งเครื่องปรุงให้น้ำเดือดไปก่อน   แล้วค่อยใส่หน่อไผ่บงหวานทีหลัง   ทิ้งให้น้ำเดือดต่อไม่เกิน  5 -7   นาที  ก็นำไปรับประทานได้เลยไม่ต้องต้มน้ำทิ้ง   หรือต้มนานๆเหมือนหน่อไผ่พันธุ์อื่นๆ   จากข้อมูลที่ลูกค้านำไปรับประทาน  ปรากฏว่าคนที่เป็นโรคปวดข้อทานหน่อไผ่อื่นๆที่ขมไม่ได้   พอรับประทานหน่อไผ่บงหวานแล้วไม่ปวดข้อ   ซึ่งนับว่าเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ   ไผ่บงหวานขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและขุดแยกเหง้า   โดยทั่วไปแล้วไผ่บงหวานชอบดินร่วนปนทราย   แต่ถ้าหากไม่ใช่ดินร่วนปนทราย   ก็สามารถปลูกได้โดยการปรับปรุงดินด้วยอินทรียวัตถุ ลักษณะเด่นของไผ่บงหวานเพชรผึ้ง
            หน่อที่เกิดจากต้นที่โตเต็มที่แล้วมีน้ำหนัก   500  กรัมขึ้นไป   หน่อมีลักษณะอวบอ้วน  เปลือกของหน่อมีลายเขียวสลับเขียวอ่อนและชมพู   ออกหน่อดกและออกได้เรื่อยๆตลอดทั้งปีถ้ามีระบบการจัดการน้ำที่ดี   ลำต้นโตเต็มที่สูงประมาณ  7-12  เมตร  เส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้นประมาณ  2-3  นิ้วมีรสชาติที่ดี  หวานนิดๆ  หอม กรอบ  คล้ายๆยอดมะพร้าว หรือจะเรียกว่าหน่อยอดมะพร้าวก็ได้  เพราะรสชาติไม่เหมือนหน่อไม้เลย   จากการตรวจทางห้องปฏิบัติกลางประเทศไทยผลการตรวจไม่พบสารไซยาไนด์   และจากการที่ผู้เขียนทดลองต้มหน่อดูพบว่าน้ำที่ต้มเป็นน้ำใสๆ  ไม่มีสีเหลือง   มีหน่อไม้ออกวางขายในท้องตลาดน้อย  ทำให้ได้ราคาที่สูงกว่าหน่อไม้อื่นๆ  โดยที่เกษตรกรที่ปลูกสามารถตั้งราคาเองได้

ลักษณะด้อยของไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้ง
        เนื่องจากเป็นไผ่ที่ออกหน่อดกจึงทำให้แขนงก็ออกดกไปด้วย    จึงต้องหมั่นแต่งแขนงเดือนละครั้ง  แต่ต้นไหนที่ตัดแขนงไปแล้วก็ไม่ต้องตัดซ้ำ  นอกจากนี้ยังเป็นไผ่ที่มีใบมาก   ทำให้ลำต้นโน้มเอียงในฤดูที่ลมแรง  ต้องคอยนำเชือกมัดรอบลำต้นเพื่อไม่ให้โน้มเอนลง  หรือตัดยอดที่ล้มทิ้งบ้างเพื่อให้ตั้งขึ้นได้   ทำให้หลายๆคนที่ทำไผ่บงหวานแล้วท้อต่อความรก  ไม่สามารถทำต่อได้  จึงไม่ค่อยพบสวนไผ่บงหวานแพร่หลายมากนักในแต่ละจังหวัด  
การขยายพันธุ์
            ไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้งขยายพันธุ์ด้วยการเพาะจากเมล็ดใช้เวลา 3  ปีจึงจะเก็บหน่อได้แต่ก็จะพบว่ามีการกลายพันธุ์ไปได้หลายลักษณะ อีกวิธีคือ การขุดแยกเหง้า  แต่การขุดแยกเหง้าจากต้นที่เพาะจากเมล็ดและทราบอายุ   ที่ได้คัดเลือกสายพันธุ์แล้วจะเป็นวิธีที่ให้ผลผลิตเร็ว  ใช้เวลา  6-8  เดือน  ก็สามารถที่จะเก็บหน่อได้  ไผ่บงหวานไม่นิยมตอนและปักชำข้อ  เพราะไม่ค่อยติด  และโตช้ากว่าการปลูกด้วยเหง้า   การขุดแยกเหง้าจะทำได้หลังจากเกษตรกรปลูกไผ่บงหวานผ่านไปได้  1  ปี  จะเริ่มทำการขุดแยกเหง้าได้ดีที่สุดในเดือน  มีนาคม   และเดือนต่อๆไปแต่ต้องก่อนที่หน่อใหม่จะโผล่ออกมาเพราะไผ่บงหวานมีการสะสม อาหารไว้มาก  จะทำให้การขุดแยกเหง้ามีการตายน้อยมากถ้าเกษตรกรขุดเพื่อขยายพันธุ์ปลูก เพิ่มเองก็ให้ขุดเหง้าละ  2-3  ต้นจะทำให้ติดดีและเก็บหน่อจำหน่ายได้ไว  แต่ถ้าขุดเหง้าเพื่อใส่ถุงจำหน่ายก็ขุดเพียงต้นเดียวให้ติดราก  แล้วนำใส่ถุงดำขนาด  5 คูณ  10  นิ้ว  วัสดุที่ใช้ควรจะเป็นขี้เถ้าแกลบเพราะระบายน้ำดีและไม่มีเชื้อราต่างๆ  ทำให้ต้นไผ่ที่ขุดมาใส่ตายน้อยมาก



การเตรียมพื้นที่ปลูก


          ให้ไถดะในที่ดินเพื่อกำจัดวัชพืชก่อนจากนั้นก็ไถแปร     ถ้าเป็นที่นาให้ยกร่องเพื่อระบายน้ำในช่วงฝนตกชุก  โดยยกร่องห่างกันประมาณ   6-7  เมตร  ปลูกที่ริมร่องน้ำห่างจากร่องน้ำราวๆ  1  เมตร  แปลงหนึ่งปลูกได้  2  แถว   ถ้าเป็นที่สวนหรือที่สภาพไร่มีการระบายน้ำดี  ก็ไม่ต้องยกร่อง  ควรจะปลูกในเดือนเมษายนหรือเดือนพฤษภาคมจะดีที่สุด   เพราะจะเก็บหน่อครั้งแรกหลังจากปลูก  ใช้เวลา  8  เดือนก็ตรงกับเดือนมกราคมของปีถัดไป จะทำให้ขายหน่อได้ราคาดี   แต่ถ้าเป็นที่นาที่กังวลต่อการขังของน้ำที่โคนไผ่  ก็ให้เลี่ยงไปปลูกในเดือนตุลาคม   แต่เกษตรกรต้องให้น้ำในช่วงฤดูแล้ง  พอฤดูฝนมาถึงไผ่ที่ปลูกก็จะทนต่อน้ำฝนที่ตกหนักได้   ไผ่แทบทุกชนิดจะกลัวน้ำขังโคนในช่วงที่ไผ่ยังเล็กอยู่เพราะมีรากน้อยมาก  

การปลูก

            ปลูกในระยะระหว่างต้น  2  เมตร  ระยะระหว่างแถว  4  เมตร โดยพื้นที่  1  ไร่จะใช้ต้นไผ่บงหวาน  200  ต้น  โดยขุดหลุมกว้าง   30  เซนติเมตร  ยาว  30  เซนติเมตร   ลึก   30  เซนติเมตร  จากนั้นคลุกหลุมปลูกด้วยขี้เถ้าแกลบเพื่อเก็บความชื้นจะทำให้ไผ่บงหวานโต เร็วขึ้น  ถ้าจะใช้ปุ๋ยคอกเก่ารองก้นหลุมก็ให้คลุกให้เข้ากันก่อน  ใส่ปุ๋ยคอกรองก้นหลุมประมาณ  1  กำมือ  ถ้าใส่มากกว่านี้ต้นจะเหลืองและโตช้าเพราะรากไผ่ที่เกิดใหม่มีน้อยและยัง อ่อนอยู่  เมื่อเตรียมหลุมเสร็จก็นำต้นพันธุ์ที่เตรียมไว้ปลูก   โดยให้กลบดินให้เสมอกับดินเดิม   ถ้าปลูกในช่วงฤดูแล้งก็ปลูกลึกกว่าดินเดิมได้เล็กน้อย  หลังจากปลูกให้รดน้ำทันทีให้ชุ่ม  ต่อไปก็ให้รดน้ำทุกๆ  3  วันจนกว่าฝนจะตกชุก    ถ้าเกษตรกรปลูกตรงกับฤดูแล้งควรจะหาฟางข้าว หรือวัสดุคลุมดินอื่นๆคลุมที่โคนไผ่  จะทำให้ต้นไผ่ไม่ขาดน้ำและเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง
การให้น้ำ
             การให้น้ำควรจะให้น้ำด้วยการขังให้ท่วมแปลงแล้วปล่อยให้แห้งภายใน หนึ่งวัน   หรือให้ด้วยระบบสปริงเกอร์ก็ได้  ซึ่งการให้ด้วยระบบสปริงเกอร์    จะช่วยทำให้ได้ไนโตรเจนในอากาศเพิ่ม   ทำให้ไผ่ออกหน่อดกมากขึ้น   ในช่วงนอกฤดู  ควรให้น้ำ   3-4  วัน ต่อครั้งแต่ละครั้งเป็นเวลา  1  ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย  ถ้าตรวจดูแล้วยังไม่ชุ่มก็ต้องเพิ่มเวลาไปอีก เพราะดินแต่ละที่ไม่เหมือนกัน   ถ้าเป็นช่วงฤดูฝน  การให้น้ำควรดูตามสภาพอากาศ   ถ้าฝนตกเรื่อยๆ  ดินชื้นตลอดไม่ต้องให้น้ำ   ถ้าฝนขาดช่วง  สังเกตว่าดินแห้งก็ค่อยให้น้ำ   แต่หากว่าจะทำไผ่บงหวานให้ออกหน่อทั้งปีหรือออกทะวายก็ต้องมีน้ำให้พอใช้   ช่วงที่หน่อไม้อื่นๆยังไม่ออก  ถ้าเกษตรกรทำให้หน่อไม้ไผ่บงหวานออกมาได้ก็จะทำให้ได้ราคาสูง    
การให้ปุ๋ย    
             ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเช่น  มูลวัว   มูลควาย  มูลไก่   มูลหมู   และวัสดุที่เหลือจากภาคเกษตรกรรมเช่นฟางข้าว   ซังข้าวโพด  แกลบ   ขี้เถ้าแกลบ  ขี้เถ้าจากชานอ้อยเผา   กากถั่วเหลือง เป็นต้น  ใส่ที่โคนไผ่กอละ หนึ่งกระสอบปุ๋ย  หรือประมาณ   30  กิโลกรัม  ปีละ  2  ครั้ง  ใส่ช่วงเดือนธันวาคมก่อนให้น้ำและใส่เดือน  พฤษภาคม   นอกจากนี้ทางสวนใช้ปุ๋ยหมักจากกากยาสูบ  ที่เป็นวัสดุเหลือทิ้งจากโรงงานยาสูบและขี้เถ้าจากการเผากากอ้อยที่หีบแล้ว  ที่ทางโรงงานน้ำตาลใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาเตาต้มน้ำเพื่อทำอุตสาหกรรม น้ำตาลทรายมาเป็นวัสดุใส่โคนไผ่    เพื่อช่วยในการอุ้มน้ำให้มีความชุ่มชื้น  และช่วยทำให้ดินร่วนซุย  ไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้ง สามารถแทงหน่อออกมาง่าย   หน่อขาวอวบ  ไม่แข็งต่างจากที่ไม่มีวัสดุคลุมโคนไผ่  ส่วนการให้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ จะให้เสริมในช่วงฤดูแล้งและหน่อไม้มีราคาสูง   เพราะจะทำให้หน่อไม้ไผ่บงหวานมีขนาดหน่อใหญ่และดกขึ้น  เนื่องจากได้สารอาหารครบตามความต้องการ   ควรจะใช้ปุ๋ย  46-0-0  อัตรา  50  กรัมต่อกอ  สลับกับ  8-24-24  อัตรา  50  กรัมต่อกอโดยให้ทุกๆ  15  วัน  แต่พอช่วงฤดูฝน  ความอุดมสมบรูณ์ของดินจะมีมากขึ้นก็ไม่ต้องให้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์  

การดูแลจัดการ

            ใน  1  ปีต้องตัดแต่งต้นเก่าแก่ออกปีละ  1  ครั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายน   โดยนำไปใช้ทำไม้ค้ำยันผลไม้และผักในสวน  

 หรือจะนำไปใช้เผาถ่านไม้ไผ่ไว้ใช้ในครัวเรือน  เหลือก็ขายมีรายได้เพิ่มอีกทาง  ส่วนเศษใบเศษกิ่งไผ่ก็ทิ้งไว้ในแปลงปล่อยให้จุลินทรีย์ ย่อยสลาย   กลายเป็นปุ๋ยให้ต้นไผ่ต่อไป  นอกจากตัดแต่งต้นเก่าออกปีละครั้งแล้ว    ช่วงเวลาฤดูฝนเป็นช่วงที่ต้องปล่อยให้หน่อไผ่ที่แทงออกห่างกอขึ้นลำ โดยกอหนึ่งจะปล่อยให้ขึ้นลำประมาณ 8-12 ลำ เพื่อเป็นลำแม่ที่จะให้หน่อในฤดูถัดไป  ลำที่ปล่อยขึ้นใหม่จะมีแขนงออกตามข้อ   ต้องคอยตัดแขนงทิ้ง   แขนงที่อ่อนสามารถนำไปรับประทานได้   ในช่วงนอกฤดู   แขนงจะไม่ออกเพราะหน่อไผ่ที่ออกมาจะถูกขุดขายตลอด  ยิ่งขุดยิ่งออกมาเรื่อยๆ    ซึ่งช่วงนี้ถือเป็นช่วงนาทีทอง   ของคนที่ฝากปากท้องไว้กับไผ่   ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกคบกับไผ่พันธุ์ไหน   ไผ่บงหวานจะเก็บผลผลิตได้   20-50  กิโลกรัมต่อไร่ต่อวัน  (ผลผลิตที่ได้ขึ้นอยู่กับการคัดเลือกสายพันธุ์และการดูแลจัดการที่ถูกต้อง)    ช่วงนอกฤดูตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม    ทางสวนจะขายกิโลกรัมละ  60   บาท    ช่วงในฤดูตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนตุลาคม   ทางสวนขายอยู่ที่กิโลกรัมละ   40   บาท    รายได้โดยเฉลี่ยของไผ่บงหวานไม่น้อยกว่า    75,000  บาท   ต่อไร่ต่อปี     จากการที่ทางสวนได้เก็บข้อมูลไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้ง    เมื่อเปรียบเทียบกับไผ่สายพันธุ์อื่นๆ     จะพบว่าไผ่บงหวานจะออกหน่อง่าย   ออกได้เรื่อยๆทั้งปี  ระยะเวลาที่หน่อโตพอที่จะขุดได้ใช้เวลาเพียง 2-3 วัน  ในช่วงนอกฤดูจะออกหน่อดก   แต่ในช่วงฤดูฝนราวๆเดือนสิงหาคมเป็นต้นไปก็ต้องปล่อยให้ขึ้นลำไปบ้าง  จึงเก็บผลผลิตได้น้อยกว่าในช่วงนอกฤดู    ในช่วงฤดูฝนเมื่อหน่อไผ่ธรรมชาติออกมา   ทางสวนก็ยังขายหน่อได้    แม้จะได้ราคาไม่สูงมากนักไม่เหมือนในช่วงนอกฤดู   แต่เมื่อเทียบกับการไม่ต้องมีต้นทุนเรื่องน้ำเพราะส่วนมากจะอาศัยน้ำฝน   ซึ่งก็ถือว่าพอใช้ได้   ถ้าเป็นไผ่สายพันธุ์อื่นๆจะมีปัญหาการขายในช่วงฤดูฝน
การคลุมโคนไผ่
          วัสดุที่ใช้คลุมโคนไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้ง  ให้ใช้ขี้เถ้าแกลบ  ขี้เถ้าจากการเผาแบบชีวะมวล  หรือแกลบดิบที่เก่าๆ  ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพราะจะทำให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงเพราะที่โคนไผ่มีความ ชื้นพอเพียง  ทำให้หน่อดกและหน่อใหญ่เกษตรกรจะได้น้ำหนักมากกว่าการที่ไม่ได้ใช้วัสดุ คลุมโคนไผ่และหน่อยังมีรสชาติที่ดี  มีความกรอบไม่แข็ง  หวาน มากขึ้น  สีผิวของหน่อขาวน่ากิน
โรคและแมลง


      

 ไผ่บงหวานที่ปลูกพบไม่ค่อยพบโรคของไผ่มากวน  ทำให้ต้นทุนสารเคมีไม่มี  แต่แมลง  พบหนอนม้วนใบบ้างเล็กน้อย  ไม่มีผลเสียหายต่อต้นไผ่  แต่ถ้าไม่ต้องการให้ระบาดก็ตัดใบที่เป็นหนอนม้วนใบไปทิ้งไกลๆหรือเผาทำลาย   นอกจากนี้ยังพบเพลี้ยอ่อนไผ่ได้บ้างเล็กน้อยในช่วงรอยต่อระหว่างฤดูหนาวและ ฤดูร้อน  แต่พอหมดฤดูหนาวเพลี้ยอ่อนก็จะหายไป  นอกจากแมลงแล้วยังพบหนูและตุ่น  หากเกษตรกรปล่อยให้สวนไผ่บงหวานรก  ก็จะมีหนูมากินหน่อไม้ ทำให้เราได้ผลผลิตลดลง  เกษตรกรต้องอย่าปล่อยให้สวนรก  คอยกำจัดกิ่งไผ่และวัชพืชให้หมดเป็นระยะ  ก็จะไม่มีหนูมารบกวน  พอมีหนูมารบกวนก็จะมีงูเห่ามากินหนูอีกทีทำให้งูเข้ามาอยู่ในสวนไผ่
เคล็ดลับของการขุดหน่อไผ่
          การขุดหน่อไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้งเกษตรกรต้องใช้เสียมลับให้คมเวลาขุดหน่อจะ ได้ไม่ช้ำ   เมื่อจะขุดให้เขี่ยวัสดุที่คลุมหน่อไผ่ออกให้เห็นโคนของหน่อ  แล้วใช้เสียมแทงให้ขาด  ควรให้ติดส่วนของเหง้ามาสัก  2  เซนติเมตร เพื่อกำจัดเนื้อไม้ที่ยังอ่อนซึ่งเป็นที่อยู่ของตากิ่งแขนงข้าง  แต่ถ้าไม่เอาตาข้างที่อัดแน่นกันอยู่ออกให้หมด  ก็จะมีกิ่งแขนงเล็กๆขึ้นอยู่ทำให้กอไผ่รกใต้  และจะส่งผลทำให้ตาหน่อไม่สามารถแทงหน่อได้  ทำให้ไม่ค่อยมีผลผลิต  
สรุปขั้นตอนการจัดการแปลงไผ่เพื่อเก็บหน่อ
- พฤษภาคม     เริ่มปลูกไผ่
-  มิถุนายนถึง ตุลาคม     ดูแลกำจัดวัชพืช   ให้น้ำ  ให้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก  ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ แต่งกิ่งแขนงไม่ให้รกที่โคนไผ่  เพื่อป้องกันหนูมากินหน่อ  และง่ายกับการจัดการ
- พฤศจิกายน ถึงธันวาคม  ตัดสางลำแก่ทิ้ง  แต่งกิ่งแขนงข้างต้นไม่ให้กอรก  ใส่ปุ๋ยคอก   คลุมโคนไผ่ด้วยขี้เถ้าแกลบหรือวัสดุอื่นๆที่หาง่าย       ให้น้ำจนชุ่ม
-  มกราคมถึงกรกฎาคม  ขุดหน่อขาย  ให้หมด ห้ามปล่อยขึ้นลำ  เหตุผลเพราะถ้าปล่อยขึ้นลำ  อาหารที่กอไผ่สร้างขึ้นจะไปเลี้ยงลำใหม่ที่ยืดสูงขึ้นจะมีผลทำให้หน่อ ที่เกิดทีหลังฝ่อ  และไม่ค่อยออกหน่อให้เก็บ  
- สิงหาคม ถึงตุลาคม  เก็บหน่อที่เล็กและหน่อที่เกิดชิดต้น    แต่เริ่มปล่อยหน่อที่เกิดห่างกอไว้เป็นลำแม่ใหม่  กอละ  8-12  ลำ
- พฤศจิกายน  ถึงธันวาคม   ปฏิบัติเหมือนขั้นตอนเดิม  ขั้นตอนต่างๆจะวนซ้ำเช่นนี้ทุกๆปี ไป  
              นอกจากไผ่บงหวานแล้ว      ทางสวนยังได้ปลูกไผ่สายพันธุ์อื่นๆ  อาทิเช่น   ไผ่ตงไต้หวัน   ไผ่เปาะช่อแฮ   ไผ่เลี้ยงสีทอง    ไผ่ซางดำ   ไผ่ตงต่างๆ    ไผ่หก    ไผ่ซางหม่น    ไผ่หม่าจู ไผ่ปักกิ่ง  ไผ่ยักษ์เมืองน่าน   ไผ่บงใหญ่พม่า  ไผ่เป๊าะยักษ์สาละวิน  ไผ่เป๊าะยักษ์ปาเก่อญอ  ไผ่โมโซ และกลุ่มไผ่ประดับ   เป็นต้น  เพื่อปลูกไว้เป็นข้อมูลเปรียบเทียบในการปลูกไผ่ว่าแต่ละสายพันธุ์สามารถนำ มาใช้ปลูกในเชิงพาณิชย์ได้ดีแค่ไหน   วิธีการบริหารจัดการแตกต่างกันอย่างไร    ซึ่งตอนนี้ทางสวนได้รับการ สนับสนุนจากหน่วยงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจังหวัดแพร่   สำนักงานเกษตรจังหวัดแพร่   สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรแพร่    ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ครูเกษตรกร    เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกร   และผู้ที่สนใจการปลูกไผ่  เข้ามาศึกษาเรียนรู้เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจ  เป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพได้อีกทางหนึ่ง   สนใจข้อมูลเพิ่มเติมหรือศึกษาดูงาน  ติดต่อได้ที่สวนไผ่หวานเพชรน้ำผึ้ง   นายวรรณบดี   รักษา   โทร.  083-2663096  ,087-8387334


ราคาจำหน่ายกิ่งพันธุ์ไผ่บงหวาน

-ไผ่บงหวานที่เพาะจากเมล็ดในแปลงแล้วถอนใส่ถุงดำ   ใช้เวลาปีกว่า               ต้นละ  30  บาท
-ไผ่บงหวานที่เพาะจากเมล็ดแล้วลงปลูกในแปลง  2  ปี คัดต้นขมทิ้งไปก่อน      ต้นละ  50 บาท  
-ไผ่ บงหวานที่เพาะจากเมล็ดปลูกลงแปลงไปได้  3  ปี ขึ้นไปคัดเลือกสายพันธุ์แล้วใช้ชื่อว่าเพชรน้ำผึ้ง โดยเลือกเอาแต่ต้นที่ให้หน่อใหญ่  พบราวๆ  5% จึงขุดเหง้ามาปลูกอีก 1 ปีแล้วขุดเหง้าขายใส่ถุงดำอีก  2-5 เดือน  รากเต็มถุงแข็งแรงแล้วพร้อมปลูกได้เลย   ต้นละ 100 บาท
-ไผ่บงหวานเพชร น้ำผึ้งปลูกผ่านไป  5  ปี  เลือกต้นที่ดีที่สุดจากกลุ่มโดยดูจากการเก็บหน่อจำหน่ายผ่านมา 3  ปี  เลือกออกมาเพียง 1 ต้นแล้วแยกเหง้าขยายเพิ่มปริมาณอีก 1 ปีจึงขุดเหง้าใส่ถุงรอ 2-5 เดือนรากเต็มถุงแข็งแรงแล้วพร้อมปลูก  จะเริ่มจำหน่ายได้ในเดือนพฤษภาคม ปี  2556 เรียกไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้งเบอร์ 2  ต้นละ   200 บาท                

          การขยายพันธุ์ไผ่บงหวาน  เกษตรกรต้องปลูกไผ่บงหวานดูแลรักษาผ่านไปได้  1  ปีไผ่  1  กอสามารถที่จะแยกเหง้าขยายพันธุ์เพิ่มปริมาณได้ ราวๆ  12-15  เหง้า    ถ้ามีไผ่บงหวาน  50 กอใช้พื้นที่ปลูก  1งาน  ดูแลรักษาผ่านไป  1 ปีก็จะแยกขยายพันธุ์ได้  600-750  ต้นปลูกเพิ่มได้ไม่ต่ำกว่า  3 ไร่   การขยายพันธุ์ไผ่บงหวานไม่สามรถตอนได้ง่ายหรือปักชำได้  ทำให้การกระจายพันธุ์ช้า  จึงไม่ค่อยเห็นไผ่ชนิดนี้ตามท้องตลาดมากนัก


 ที่มา:http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=1081.msg12704#msg12704

GuiKaset

Phasellus facilisis convallis metus, ut imperdiet augue auctor nec. Duis at velit id augue lobortis porta. Sed varius, enim accumsan aliquam tincidunt, tortor urna vulputate quam, eget finibus urna est in augue.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น